วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การวิเคราะห์ความเสียหาย: การเก็บข้อมูลเบื้องต้น (Background information)


การวิเคราะห์ความเสียหายของชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ต้องเริ่มต้นจากประวัติหรือข้อมูลความเป็นมาของชิ้นส่วนที่เสียหายนั้นๆ เช่น ชนิดของวัสดุ ส่วนผสมทางเคมี ข้อกำหนดต่างๆ (Specification)กระบวนการผลิต การอบชุบ การผ่านกระบวนการทางความร้อน ตลอดจนสภาวะการใช้งาน บางกรณีก็อาจจำเป็นต้องมีแบบ (Drawing) ของชิ้นส่วนที่เสียหายด้วยหากสามารถหาได้ นอกจากนี้ควรทราบด้วยว่าขณะใช้งาน ชิ้นส่วนที่เกิดความเสียหายสัมผัสกับสภาวะแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ บรรยากาศรอบๆ และความดันรวมทั้งลักษณะของแรงที่กระทำเป็นอย่างไร ลักษณะความผิดปกติเบื้องต้นก่อนเกิดการเสียหาย อายุการใช้งาน ตารางการทดสอบ วิธีการตรวจสอบ ข้อมูลเหล่านี้บางครั้งจำเป็นต้องสอบถามจากพนักงานที่ดูแล (Plant Personnel)
ประวัติการใช้งานของชิ้นส่วนเสียหายที่ครบถ้วนสมบูรณ์และถูกต้อง มีความสำคัญต่อการวิเคราะห์ความเสียหายมาก ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น และมีความมั่นใจในผลการวิเคราะห์ว่าเป็นไปในทางที่ถูกต้อง นอกจากนี้ประวัติการซ่อมแซมชิ้นส่วนที่เสียหายว่าเคยซ่อมเมื่อใด บ่อยหรือไม่ เหตุที่ต้องซ่อมแซมและวิธีการซ่อมเป็นข้อมูลที่ต้องบันทึกไว้ด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ควรระวังในการเก็บข้อมูลที่หน้างานนั้น บางครั้งอาจจำเป็นต้องมีการใช้ปากกาหรือสีเพื่อระบุ (Marking) ตำแหน่งต่างๆ บนชิ้นงาน เพื่อเน้นบริเวณสำคัญระหว่างการถ่ายภาพ อาจทำให้บริเวณดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงสมบัติความต้านทานต่อการกัดกร่อนได้ หรือเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีของผลิตภัณฑ์การกัดกร่อน สิ่งหนึ่งที่ผู้ตรวจสอบความเสียหายควรพึงระวัง คือ ควรรักษาสภาพการกัดกร่อนที่เกิดขึ้นให้มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดก่อนทำการเคลื่อนย้าย หรือก่อนการแยกส่วนประกอบของชิ้นส่วน ควรบันทึกเหตุการณ์ให้เป็นสายโซ่ของเหตุการณ์(Chain of Events)รวมทั้งถ่ายภาพชิ้นส่วนที่เสียหายเอาไว้ทุกแง่ทุกมุม โดยพยายามถ่ายภาพให้ได้สีที่เป็นจริง (True Color) ซึ่งอาจใช้แผ่นสี(Color Chart) มาประกอบการถ่ายภาพ เนื่องจากสีที่ได้จากการถ่ายภาพ ส่วนหนึ่งมักเปลี่ยนความเข้มและความคมชัดตามปริมาณแสงที่ตกกระทบ การถ่ายภาพตะกรันที่เกิดจากการกัดกร่อนควรทำให้สามารถมองเห็นชั้นตะกรันแต่ละชั้นได้ชัดเจน โดยเฉพาะการถ่ายภาพชิ้นงานในห้องปฏิบัติการ ควรมีการควบคุมปริมาณแสงให้เหมาะสม ก่อนที่จะนำชิ้นส่วนนั้นไปทำการวิเคราะห์ต่อไป สิ่งที่ต้องจดจำคือบางครั้งผู้ใช้งานจะให้ข้อมูลที่ไม่ตรงความเป็นจริง โดยเฉพาะข้อมูลที่ทำให้เจ้าของงานเสียผลประโยชน์ ดังนั้นผู้ที่ทำการวิเคราะห์ฯ หรือตัวแทนควรเข้าร่วมการตรวจสอบที่หน้างาน (Onsite Investigation)
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นนั้น ผู้ทำการวิเคราะห์จะต้องเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติของชิ้นส่วนอย่างสมบูรณ์ ประกอบไปด้วยรายละเอียดของความเสียหายและข้อมูลประวัติของการผลิตก่อนที่จะทำการเลือกขั้นตอนและวิธีการทดสอบที่เหมาะสมอันชาญฉลาดเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ความเสียหาย รายละเอียดสำคัญที่ควรเก็บข้อมูลมีดังนี้
ข้อมูลเกี่ยวกับชิ้นส่วนที่เสียหาย
-      ตำแหน่ง ชื่อของชิ้นส่วน หมายเลขบ่งชี้ เช่น หมายเลขชิ้นส่วน (Part No.) หมายเลขสายการผลิต (Lot No.) เจ้าของ ผู้ใช้งาน ผู้ผลิต และผู้ประกอบ/ติดตั้ง
-      หน้าที่การใช้งาน
-      อายุการใช้งานก่อนเกิดการเสียหาย-      การจัดอันดับของชิ้นส่วน ระดับการปฏิบัติการ การรับแรงแบบปกติหรือไม่ปกติ ความถี่ในการรับแรง ลักษณะของสิ่งแวดล้อม
-      ชนิดของวัสดุที่ใช้ผลิตชิ้นส่วน
-      เทคนิคที่ใช้ในการผลิต (หล่อ รีด ทุบ)และการประกอบติดตั้ง (เชื่อม ขันนอต) รวมทั้งข้อกำหนดและมาตรการที่ใช้ในการผลิตและติดตั้ง การตรวจสอบและการปฏิบัติการของชิ้นส่วน
-      แนวแรงที่มากระทำ ช่วงอุณหภูมิระหว่างปฏิบัติการ ความดัน ความเร็ว
-      ความแข็งแรงและความแกร่ง
-      กระบวนการทางความร้อน การลดความเค้นตกค้างหรือกระบวนการทางความร้อนอื่นๆ
-      ขั้นตอนในการประกอบติดตั้ง เช่น การเชื่อม การทากาว การเคลือบผิว การขัน การย้ำหมุด
-      รายงานเกี่ยวกับเทคนิคที่ใช้ในการทดสอบและการควบคุมคุณภาพในระหว่างการผลิต การใช้งานและการซ่อมบำรุง
ข้อมูลเกี่ยวกับความเสียหาย
-      วันและเวลาที่เกิดความเสียหาย อุณหภูมิและลักษณะของสิ่งแวดล้อม
-      สภาพความเสียหาย ลำดับของความเสียหาย อันตรายและบาดเจ็บ
-      ขั้นตอนการดำเนินการเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น
-      พิมพ์เขียว ภาพถ่ายหรือภาพสเกตซ์ของความเสียหายและบริเวณใกล้เคียง
-      ความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติการที่อาจส่งเสริมให้เกิดความเสียหาย
-      ความคิดเห็นของพนักงานปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความเสียหาย
ผู้ทำการวิเคราะห์ควรศึกษาพิมพ์เขียวและภาพที่ถูกบันทึกต่างๆ อย่างระมัดระวัง เพื่อให้ได้ภาพของเรื่องราวของชิ้นส่วนที่เสียหาย ข้อมูลเหล่านี้ยังสามารถช่วยในการประเมินความเค้น ถ้าเป็นไปได้ ผู้ทำการวิเคราะห์หรือผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจควรไปตรวจสอบที่หน้างานด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นการตรวจสอบมือแรกทั้งนี้ยังเพื่อประโยชน์ในการคัดเลือกพื้นที่และชิ้นส่วนเพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์ ผู้ทำการวิเคราะห์ควรเก็บชิ้นส่วนที่จะวิเคราะห์อย่างทันที เพื่อป้องกันการเปลี่ยนทางโครงสร้างและลักษณะที่ปรากฏต่างๆของวัสดุที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการลำเลียง ความพยายามในการประกอบกลับที่เดิมของผู้ไม่รู้ การกัดกร่อน หรือปัจจัยอื่นๆ
เมื่อสามารถรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นของชิ้นส่วนที่เสียหายได้แล้ว ผู้วิเคราะห์ควรจะทำความรู้จักกับวัสดุ กระบวนการผลิต และเทคนิคในการประกอบติดตั้งที่ใช้ในการผลิตชิ้นส่วน เวลาที่เราใช้ไปในการวิจัยอาจจะไม่รู้ว่ามากเท่าไรในระหว่างการตรวจสอบ
การมีข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับชิ้นส่วนที่เสียหายถือว่ามีความสำคัญมาก ยกตัวอย่างเช่นการวิเคราะห์ความเสียหายของชิ้นส่วนท่อลำเลียงสารเคมีที่เกิดการรั่วหลังจากการใช้งานได้แค่ประมาณ 2-3 วัน โดยข้อมูลเบื้องต้นจากผู้ที่รับผิดชอบแจ้งว่าท่อหลังจากการเชื่อมต่อเสร็จได้มีการตรวจสอบแนวเชื่อมด้วยวิธีแบบไม่ทำลายโดยการฉายรังสี (Radioscopic Inspection) ไม่พบจุดพร่อง หลังจากนั้นมีการทดสอบด้วยแรงดันน้ำที่ความดัน 1.5 เท่าของแรงดันปฏิบัติการ ไม่พบการรั่วของท่อ แต่น้ำที่ใช้ในการทดสอบไม่ใช้น้ำที่ปลอดประจุ และหลังจากทดสอบแรงดันน้ำเสร็จได้มีการระบายน้ำออกโดยไม่ได้ทำให้แห้ง จึงมีบางบริเวณที่ถูกติดตั้งในตำแหน่งที่ต่ำกว่าบริเวณอื่น ทำให้ท่อเหล็กล้าไร้สนิมถูกน้ำแช่ขังเป็นเวลามากกว่า 4 เดือน และที่แย่ไปกว่านั้นจากข้อมูลการสุ่มตัวอย่างน้ำที่ใช้ในการทดสอบแรงดันน้ำพบว่ามีปริมาณคลอไรด์เจือปนประมาณ25 ppm ข้อมูลเบื้องต้นตรงนี้มีประโยชน์อย่างมากต่อการวิเคราะห์หาสาเหตุการรั่วของท่อ เป็นที่ทราบกันดีว่าเหล็กกล้าไร้สนิมเมื่อสัมผัสกับสารละลายที่มีคลอไรด์เป็นองค์ประกอบและอยู่ในสภาพแช่นิ่ง(Stagnant Condition) จะมีความไวต่อการกัดกร่อนแบบรูเข็มมาก และถ้าสารละลายน้ำมีจุลชีพมาเจือปนก็ยิ่งจะเหนี่ยวนำให้ท่อเกิดการรั่วได้เร็วยิ่งขึ้นจากกลไกการกัดกร่อนจากจุลชีพ (Microbiologically Induced Corrosion; MIC) โดยกลไกดังกล่าวสามารถยืนยันได้จากผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์การกัดกร่อนที่ตรวจพบองค์ประกอบของธาตุซัลเฟอร์ เมื่อทำการตรวจสอบภาคตัดขวางชิ้นส่วนที่เสียหาย พบการขยายตัวของรูเข็มมาจากผนังด้านในท่อ ซึ่งสามารถนำไปสู่การสรุปผลสาเหตุของการเสียหายรวมทั้งข้อเสนอแนะที่สามารถนำไปปฏิบัติได้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

การล้างผิวเหล็กกล้าไร้สนิมด้วยกรด (Pickling) และการสร้างฟิล์ม (Passivation)

Image credit: https://www.safefoodfactory.com/en/editorials/54-pickling-and-passivating-stainless-steel/ เหล็กกล้าไร้สนิมสามารถเกิดการกัดกร่...